ของเรา..ใช่ของเรา หยุดขลาดเขลา..เกลานิสัย ของเรา..คือกายใจ ที่มอดไหม้..หมดเวลา

ประวัติ

จากหนังสือ มุตโตทัย ของหลวงปู่มั่น

กล่าวถึงความหมายของ นะโม ดังนี้

............................................................

มูลมรดกอันเป็นต้นทุนทำการฝึกฝนตน



เหตุใดหนอ ปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จึงยกขึ้นพิจารณา ได้ความว่า น คือธาตุน้ำ โม คือ ธาตุดิน พร้อมกับบาทพระคาถา ปรากฏขึ้นมาว่า มาตาเปติกสมุภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน จึงเป็นตัวตนขึ้นมาได้ น เป็นธาตุของ มารดา โม เป็นธาตุของ บิดา ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า กลละ คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ถือปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว กลละ ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น อัมพุชะ คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น ฆนะ คือเป็นแท่ง และ เปสี คือชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ พ คือลม ธ คือไฟ นั้นเป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาปสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นเดิม


ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย น มารดา โม บิดา เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาส เป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดาว่า บุพพาจารย์ เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ทำให้กล่าวคือรูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิมทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลยเพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น "มูลมรดก" ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อนแล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัดปฏิบัติตนไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ



มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ



นโม นี้ เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะจากตัว น มาใส่ตัว ม เอาสระ โอ จากตัว ม มาใส่ตัว น แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจเต็มตามส่วน สมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมด ได้ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก ใจ คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก มโน แจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมมติบัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะจนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราไปหมด



มูลเหตุแห่งสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุ



พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เว้นมหาปัฏฐาน มีนัยประมาณเท่านั้นเท่านี้ ส่วนคัมภีร์มหาปัฏฐาน มีนัยหาประมาณมิได้เป็น "อนันตนัย" เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรอบรู้ได้ เมื่อพิจารณาพระบาลีที่ว่า เหตุปจฺจโย นั้นได้ความว่า เหตุซึ่งเป็นปัจจัยดั้งเดิมของสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุนั้นได้แก่ มโน นั่นเอง มโน เป็นตัวมหาเหตุเป็นตัวเดิม เป็นสิ่งสำคัญ นอนนั้นเป็นแต่อาการเท่านั้น อารมฺมณ จนถึงอวิคฺคต จะเป็นปัจจัยได้ก็เพราะมหาเหตุคือใจเป็นเดิมโดยแท้ ฉะนั้น มโนซึ่งกล่าวไว้ในข้อ ๔ ก็ดี ฐีติ ภูตํ ซึ่งจะกล่าวในข้อ ๖ ก็ดี และมหาธาตุซึ่งกล่าวในข้อนี้ก็ดี ย่อมมีเนื้อความเป็นอันเดียวกัน พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัยก็ดี รู้อะไรๆ ได้ด้วย ทศพลญาณ ก็ดี รอบรู้ สรรพเญยฺยธรรม ทั้งปวงก็ดี ก็เพราะมีมหาเหตุนั้นเป็นดั้งเดิมทีเดียว จึงทรงรอบรู้ได้เป็นอนันตนัย แม้สาวทั้งหลายก็มีมหาเหตุนี้แลเป็นเดิม จึงสามารถรู้ตามคำสอนของพระองค์ได้ด้วยเหตุนี้แลพระอัสสชิเถระผู้เป็นที่ ๕ ของพระปัญจวัคคีย์จึงแสดงธรรมแก่ อุปติสฺส (พระสารีบุตร) ว่า เย ธมฺมา เหตุปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ความว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ.....เพราะว่ามหาเหตุนี้เป็นตัวสำคัญ เป็นตัวเดิม เมื่อท่านพระอัสสชิเถระกล่าวถึงที่นี้ (คือมหาเหตุ) ท่านพระสารีบุตรจะไม่หยั่งจิตลงถึงกระแสธรรมอย่างไรเล่า ? เพราะอะไร ทุกสิ่งในโลกก็ต้องเป็นไปแต่มหาเหตุถึงโลกุตตรธรรม ก็คือมหาเหตุ ฉะนั้น มหาปัฏฐาน ท่านจึงว่าเป็น อนันตนัย ผู้มาปฏิบัติใจคือตัวมหาเหตุจนแจ่มกระจ่างสว่างโร่แล้วย่อมสามารถรู้อะไรๆ ทั้งภายในและภายนอกทุกสิ่งทุกประการ สุดจะนับจะประมาณได้ด้วยประการฉะนี้



มูลการของสังสารวัฏฏ์



ฐีติภูตํ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา อุปาทานํ ภโว ชาติ


คนเราทุกรูปนามที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีที่เกิดทั้งสิ้น กล่าวคือมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด ก็แลเหตุใดท่านจึงบัญญัติปัจจยาการแต่เพียงว่า อวิชฺชา ปจฺจยา ฯลฯ เท่านั้น อวิชชา เกิดมาจากอะไรฯ ท่านหาได้บัญญัติไว้ไม่ พวกเราก็ยังมีบิดามารดาอวิชชาก็ต้องมีพ่อแม่เหมือนกัน ได้ความตามบาทพระคาถาเบื้องต้นว่า ฐีติภูตํ นั่นเองเป็นพ่อแม่ของอวิชชา ฐีติภูตํ ได้แก่ จิตดั้งเดิม เมื่อฐีติภูตํ ประกอบไปด้วยความหลง จึงมีเครื่องต่อ กล่าวคือ อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมีอวิชชาแล้วจึงเป็นปัจจัยให้ปรุงแต่งเป็นสังขารพร้อมกับความเข้าไปยึดถือ จึงเป็นภพชาติคือต้องเกิดก่อต่อกันไป ท่านเรียก ปัจจยาการ เพราะเป็นอาการสืบต่อกัน วิชชาและอวิชชาก็ต้องมาจากฐีติภูตํเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อฐีติภูตํกอปรด้วยวิชชาจึงรู้เท่าอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง นี่พิจารณาด้วยวุฏฐานคามินี วิปัสสนา รวมใจความว่า ฐีติภูตํ เป็นตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ์ (การเวียนว่ายตายเกิด) ท่านจึงเรียกชื่อว่า "มูลตันไตร" (หมายถึงไตรลักษณ์) เพราะฉะนั้นเมื่อจะตัดสังสารวัฏฏ์ให้ขาดสูญ จึงต้องอบรมบ่มตัวการดั้งเดิมให้มีวิชชารู้เท่าทันอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง ก็จะหายหลงแล้วไม่ก่ออาการทั้งหลายใดๆ อีก ฐีติภูตํ อันเป็นมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ด้วยประการฉะ


-. มูลมรดกอันเป็นต้นทุนทำการฝึกฝนตน


เหตุใดหนอ ปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี


หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย


เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จึงยกขึ้นพิจารณา ได้ความว่า


น คือธาตุน้ำ โม คือ ธาตุดิน พร้อมกับบาทพระคาถา ปรากฏขึ้นมาว่า


มาตาเปติกสมุภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดา


ผสมกัน จึงเป็นตัวตนขึ้นมาได้ น เป็นธาตุของ มารดา โม เป็นธาตุของ

บิดา ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจน


ได้นามว่า กลละ คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือ


ปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ถือปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว

กลละ ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น อัมพุชะ คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อน


เลือดมาเป็น ฆนะ คือเป็นแท่ง และ เปสี คือชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออก

คล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ

พ คือลม ธ คือไฟ นั้นเป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไม่ถือ เมื่อ

ละจากกลละนั้นแล้ว กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี

คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาปสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย ข้อสำคัญ

จึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นเดิม

ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย น มารดา

โม บิดา เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและ


ขนมกุมมาส เป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่าน

จึงเรียกมารดาบิดาว่า บุพพาจารย์ เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น มารดา

บิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ทำให้

กล่าวคือรูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิมทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของ

ภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้


ชื่อว่าไม่มีอะไรเลยเพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น "มูลมรดก"

ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์


ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อนแล้วจึง


ทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปล

เพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึก

หัดปฏิบัติตนไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ



๔. มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ

นโม นี้ เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือ

ยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะจากตัว น มา

ใส่ตัว ม เอาสระ โอ จากตัว ม มาใส่ตัว น แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว

โน เป็น มโน แปลว่าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจเต็มตามส่วน

สมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม

เป็นมหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมด ได้ใน

พระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้ง

หลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะ

ทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก ใจ คือมหาฐาน

นี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก มโน แจ่ม

แจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายใน

โลกนี้ต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือ

เอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมมติบัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะจนเป็น

อวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าเป็น

ตัวเรา เป็นของเราไปหมด

เรื่องกำเนิดนโม

ในจารีตและประเพณีของพระพุทธศาสนาทั้งในอดีตที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน แม้ในอนาคตก็คงเป็นเช่นกัน ในการประกอบศาสนพิธีหรือกิจการที่เป็นมงคลพุทธศาสนิกชน จะเป็นส่วนรวมหรือส่วนย่อย เป็นปัจเจกบุคคลก็ตาม มีนิยมว่า นโมก่อน โดยมากใช้คำว่า ตั้งนโมก่อน

คำว่า ตั้ง มีความหมายสำคัญมาก คือ ทรงไว้หรือดำรงไว้ มาจากมูลรากศัพท์คือ “ฐา” ธาตุในความตั้ง ฉะนั้น การตั้งนโม จึงมีความหมายว่า ให้เกิดความมั่นคง ดำรงไว้ซึ่งความดีงาม แห่งพิธีหรือกิจการนั้น ๆ

นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ แปลว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ พระอนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยดีโดยชอบพระองค์นั้น ในคัมภีร์สารัตถสมุจจัย อรรถกถาภาณวาร พระอรรถกถาจารย์ ได้แสดงไว้เป็นตำนานเล่าขานสืบมาว่า มีเรื่องเล่าว่า กาลครั้งหนึ่ง เทวดาและอสูรรวมห้าตนด้วยกัน ได้พากันเข้าเฝ้าถวายนมัสการ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่ประทับ แล้วได้เปล่งวาจาตน ละ วาระถวายความเคารพดังนี้

สาตาคิรายักษ์ ว่า นโม

อสุรินทราหู ว่า ตัสสะ

ท้าวมหาราช ว่า ภควโต

ท้าวสักกะ ว่า อรหโต

ท้าวมหาพรหม ว่า สัมมาสัมพุทธัสสะ

แต่ละตนเปล่งวาจาออกมาล้วนแต่เป็นคำนอบน้อมทั้งนั้น มารวมกันตนละคำเขาแล้ว เป็น นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ท้าวมหาราชมี ๔ ตน ประจำทิศทั้ง ๔ คือ ปุริมทิศ เป็นบัวรพาตะวันออก ท้าวธตรัฎฐะประจำ ทักขิณทิศ เป็นทิศใต้ ท้าววิรุฬหะกะอยู่ประจำ ปัจฉิมทิศ เป็นทิศตะวันตก ท้าววิรุปักขา อยู่ประจำอุตรทิศ เป็นทิศอุดร (เหนือ) ท้าวกุเวร อยู่ประจำ

เพื่อให้มีความจำง่ายขึ้นมีคาถาว่า


นะโม สาตาคิริยักโข ตัสสะ จะ อะสุรินทะโก ภะคะวะโต


มะหาราชา สักโก อะระโต ตะถา สัมมาสัมพุทธัสสะ


มะหาพรหมา ปัญจะ เอเต นะมัสสะเร


นะโม แปลว่า ความนอบน้อม หมายถึง จริยา ความประพฤติ คือ การแสดงออกทางกายทางวาจา และทางใจ โบราณท่านสอนเตือนใจไว้ว่า บวชเป็นเณรให้รู้จัก นะ บวชเป็นพระให้รู้จัก โม รวมความว่า นะโม


นะ หมายถึง น้ำ เป็นเครื่องหมายคุณของแม่ โม หมายถึง ดิน เป็นเครื่องหมายคุณของพ่อ บุคคลใดก็ตาม เมื่อมีจริยา มีนโมเป็นพื้นฐาน คือ มี ความประพฤติทางกาย มีความประพฤติทางวาจา และทางใจ นอบน้อมต่อผู้อื่น นอบน้อมต่อตนเอง หรือต่อสิ่งอื่น ๆ แล้ว บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นคนมี นโม แม้จะทำการใดๆ จะยากหรือง่าย ก็ย่อมประสบผลสำเร็จ หรือเมื่อตกทุกข์ได้ยากลำบากทรมานหนักหนาสักปานใด ก็ย่อมได้รับความเมตตา ความกรุณา มุทิตา และอุเบกขาธรรม ให้การช่วยเหลือ ให้พ้นทุกข์พ้นยากพ้นจากความลำบากทรมานนั้น ๆ


เช่น อย่างเรื่อง “มหาชนก” มีเรื่องเล่ามาว่า พระมหาชนกกุมาร มีความเคารพเป็นคุณธรรมพิเศษ ได้ลาพระมารดาไปค้าขายกัลคณะพ่อค้าทางทะเล เรือสำเภาแตกได้ลอยอยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ด้วยความมีนโม เคารพตนเอง พยายามต่อสู้แหวกว่ายท่ามกลางมหันตรายทุกชนิด ก็ยังมีนางมณีเมฆขลา เทพธิดา ตนรักษา มหาสมุทรได้เห็นเข้า และเกิดศรัทธาในความพากเพียร ต่อสู้กับมหันตรายในมหาสมุทรจึงได้อุ้มพาเอาพระมหาชนกกุมารขึ้นจากน้ำไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา วางไว้ ณ ศาลาแห่งหนึ่ง


ณ เมืองมิถิลานั้น พระราชาทรงพระนามว่า โปลชนก ทรงปกครองแต่พระองค์ ไม่มีพระโอรส ผู้จะสืบสันติวงศ์ ทรงมีแต่พระราชธิดา ทรงพระนามว่า “เจ้าหหญิงสิวลี” พระราชธิดาเฉลียวฉลาด ถึงพร้อมด้วยความงามยิ่ง ในขณะนั้น พระเจ้าโปลชนก ก็ทรงพระประชวรหนัก และได้สวรรคต ไม่มีผู้จะมาสืบราชสมบัติแทน


ในที่สุด พวกเสวกามาตย์ราชบริพารทั้งหลาย จึงได้จัดพิธีเสี่ยงราชรถ เพื่อหาตัวบุคคลผู้มีบุญญาธิการ บุษราชรถเสี่ยงทายนั้น ก็แล่นออกจากพระราชวัง ตรงไปที่พระมหาชนก กุมารทรงนอนอยู่ เวียนสามรอบเป็นประทักษิณแล้วหยุดนิ่ง ฝ่ายปุโรหิตาจารย์ผู้ตามไป จึงให้สัญญาณ เจ้าหน้าที่ฆ้อง กลอง ดนตรี ประโคมขึ้น แล้วอัญเชิญพระมหาชนกกุมาร ขึ้นสู่ราชรถกลับเข้าเมือง ประกอบพิธีราชาภิเษก เป็นพระราชาเสวยราชสมบัติ แห่งมิถิลามหานคร


และต่อมาได้รับการอภิเษกสมรสกับพระนางสิวลี ทรงมีพระราชโอรส ทรงประนามว่า “ฑีฆาวุกุมาร” ด้วยประการฉะนี้ เป็นเรื่องของผู้มี นโม ประจำตัว